คลังบทความ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่5


หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 

การใช้งานเครือข่ายแลน ในการปฏิบัติงานขององค์กร

เครือข่ายแลน คือ หรือระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ โดยปกติแล้วจะเป็นระบบเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) นั่นคือองค์กรที่ต้องการใช้งานเครือข่าย ทำการสร้าง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายในระยะใกล้ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรและธุรกิจต่างๆ มากมาย เช่น - สามารถแบ่งเบาการประมวลผลไปยังเครื่องต่างๆ เฉลี่ยกันไป - สามารถแบ่งกันใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ ซีดีรอมไดร์ฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นต้น
- สามารถแบ่งกันใช้งานซอฟต์แวร์และข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ รวมทั้งทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้เพียงที่เดียว
- สามารถวางแผนหรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ตาม - สามารถใช้ในการติดต่อกัน เช่น ส่งจดหมายทางอิเลคทรอนิคส์ หรือการส่งเสีย
1. การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้ สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเครื่องพิมพ์ ดิสก์ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ โมเด็ม เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
2. การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน (Sharing of program and data)เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม และข้อมูลร่วมกันได้ โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้แหล่งเก็บข้อมูล ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ที่ฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง File Server ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมร่วมกัน ได้จากแหล่งเดียวกัน ไม่ต้องเก็บโปรแกรมไว้ในแต่ละเครื่อง ให้ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนั้นยังสามารถรวบรวม ข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศ จากฐานข้อมูลกลาง ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร ์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินทางไปสำเนาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะใช้การเรียกใช้ข้อมูล ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นั่นเอง เครื่องลูก (Client) สามารถเข้ามาใช้ โปรแกรม ข้อมูล ร่วมกันได้จากเครื่องแม่ (Server) หรือระหว่างเครื่องลูกกับเครื่องลูกก็ได้ เป็นการประหยัดเนื้อที่ในการจัดเก็บโปรแกรม ไม่จำเป็นว่าทุกเครื่องต้องมีโปรแกรมเดียวกันนี้ในเครื่องของตนเอง
3. สามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลได้(Telecommunication)การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่าย ทั้งประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทำให้คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูล ระยะไกลได้โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ทางด้านการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีการให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การสืบค้นข้อมูล (Serach Engine) เป็นต้น
4. ความเชื่อถือได้ของระบบงาน เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานภายในองค์กร ถ้าทำงานได้เร็วแต่ขาดความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องของข้อมูลก็ถือว่าใช้ไม่ได้ไม่มีประสิทธิภาพดังนั้นเมื่อนำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้งาน ทำให้ระบบงานมีประสิทธิ์ภาพ มีความน่าเชื่อถือข้อข้อมูล เพราะจะมีสำรองข้อมูลไว้เมื่อเครื่องที่ใช้งานเกิดมีปัญหาก็สามารถนำข้อมูลที่มีการสำรองไว้มาใช้ได้ทันที

การใช้งานเคือข่ายอินทราเน็ตในการปฏิบัติงานองค์การ


เครือข่ายอินทราเน็ต(Intranet) คือ  อินทราเน็ต(Intranet) คือ ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกันอินเทอร์เน็ต แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ง หรือระบบเครือข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทั่วประเทศ เป็นต้น เป็นการสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเปิดบริการคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเกือบทุกอย่าง แต่ยอมให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น เป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งาน ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตในองค์กร ก็คือ "อินทราเน็ต" นั่นเอง แต่ในช่วงที่ชื่อนี้ยังไม่เป็นที่นิยม ระบบอินทราเน็ต ถูกเรียกในหลายชื่อ เช่น Campus network, Local internet, Enterprise network เป็นต้น ในยุคที่อินเตอร์เน็ตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บริษัทธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เริ่มหันมาใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ต ในการโฆษณา การขายหรือเลือกซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ในขณะที่องค์กรบางแห่งที่ไม่มุ่งเน้นการบริการข้อมูลอินเตอร์เน็ตระหว่างเครือข่าย ภายนอก แต่จัดสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและเปิดให้บริการในรูปแบบเดียวกับที่มีอยู่ในโลก ของอินเตอร์เน็ตจริง ๆ โดยมีเป้าหมายให้บริการแก่บุคลากร ในองค์กร จึงก่อให้เกิดระบบอินเตอร์เน็ตภายในองค์กร เรียกว่า "เครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet)" เครือข่ายอินทราเน็ตนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในปี พ.ศ.2539 แต่แท้ที่จริงแล้วได้มีผู้ริเริ่มพูดถึงชื่อนี้ตั้งแต่ สี่ปีก่อนหน้าแล้ว หลังจากนั้นระบบอินทราเน็ตจึงได้ได้รับความนิยมมากขึ้น ในยุคแรก ๆ ระบบนี้มีชื่อเรียกกันหลายชื่อ เช่น แคมปัสเน็ตเวิร์ก (Campus Network) โลคัลอินเตอร์เน็ต (Local Internet) เอนเตอร์ไพรท์เน็ตเวิร์ก (Enterprise Network) เป็นต้น แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดคือชื่อ อินทราเน็ต ชื่อนี้จึงกลายเป็นชื่อยอดนิยมและใช้มาจนถึงปัจจุบัน

การนำเครือข่ายอิทรเน็ตมาใช้ในองค์กรช่วยในการทำงาน
E-company คือ องค์กรที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกรกรรมจากกระบบเดิม ซึ่งใช้เอกสารในการประสานงานกัน มาเป็นระบบที่ใช้เอกสารในรูปแบบอิเล็กทรงอิเล็กทรอเล็ก โดยประยุกต์เทคโนโลยีในปัจจุบันปรับให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจของแต่องค์กร
Corporate Portal  อิรทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่ต้องมีฟอฟต์แวร์มาจัดระบบ
ซอฟต์แวร์นี้จะทำให้เกิดเว็บหลักขององค์กร Corporate Portal ซึ่งเป็นจุดที่ทุกคนในองค์กรจะต้องมาพบ มาใช้เพื่อ การทำงาน การสื่อสาร การเรียนรู้ และการสันทนาการประเภทหลักๆ


การกระจายข้อมูลสารสนเทศ(Informationการที่จะทำให้ข้อมูลขององคืกรหาง่ายใช้งานได้สะดวกเป็นวัตถุประสงค์หลักของอินทราเน็ตดังนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมเนื้อหาของสารสนเทศในองค์กรให้เหมาะสม ซึ่งรูปแบบการใช้สามารถเทศแบ่งได้ 3 ชนิดคือ
1.            สารสนเทศทางการ ได้แก่ สารสนเทศที่เกี่ยวกับกฎระเบียบบริษัท ที่ใช้องค์กรประวัติผลงานล่าสุด รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ หรืออื่นๆ เกี่ยวข้องกับบริษัทเป็นต้น
2.            สารสนเทศกลุ่ม ได้แก่ สารสนเทศที่ใช้ภายในกลุ่ม/แผนก กลุ่มงานโครงการ เป็นเครืองมือในการติดต่อประสานงานกัน กระกระจายความคิดเห็น การทำกิจกรรมหรือการจัดการงานต่างๆ
3.            สานสนเทศที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ สารสนเทศี่ใช้ในการบริหารงาน การปฏิบัติงานและการใช้สารสนเทศในการพัฒนาเสริมสร้างความรู้ ทักษะในแขนวิชาต่างๆให้เกิดผลสำเร็จสามารถนำไปใช้ในการสนัลสนุนการทำงานในแต่ละฝ่าย

ประโยชน์ของการใช้เครือข่ายอิทราเน็ตในองค์กร

ประโยชน์ของการนำระบบเครือข่ายอินทราเน็ต มาใช้ติดต่อสื่อสารในองค์กร มีดังนี้
1.ช่วยลดต้นทุนในการบริหารข่าวสาร   เนื่องจาการการจัดเก็บข่าวสารต่างๆ ภายในองค์กริสามารถจัดเก็บอยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่าย ด้วยการใช้ภาษาHTMLและใช้บราวเซอร์ในการอ่านเอกสาร ทำให้ลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการพิมพ์เอกสารกระดาษ และช่วยให้ได้รับข่าวสารที่ไหม่เสมอ เนื่องจาการจัดเก็บข่าวสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากเหมือนการพิมพ์ลงกระดาษ และไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเต็ม ทำให้บุคลากรในองค์กรสามารถรับข่าวสารทีทันสมัยอยู่เสมอ
2. ช่วยให้ติดต่อสื่อสารกันได้อย่ารวดเร็ว ไม่ว่าบุคลากรจะทำงานอยู่ในส่วนใดของ อาคาร หรือคนละอาคาร หรือคนละจังหวัด ด้วยการใช้เทคโนโลยีจดหลายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เทคโนโลยีกาติดต่อผ่านแป้นพิมพ์ (Chat) หรือเทคโนโลยีประชุมทางไกล (Conference) เป็นการช่วยประหยัดเวลาการเดินทางของบุคลากร ตลอดจนช่วยให้ทีมงานมีการประสานงานกันดีขึ้น เสียค่าใช้จ่ายน้อย  การติดตั้งอิทราเน็ตจะเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการติดตั้งซอฟต์แวร์การทำงานแบบกลุ่ม(Workgroup Software) ทั่วไปมาก
3. เป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีเปิด ทำให้องค์กรไม่ผูกติดอยู่กับผู้ค้ารายใดรายหนึ่ง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่างๆ รวมทั้งช่วยให้สามารถหาซอฟต์แวรืไหม่ๆ ที่มาช่วยในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งผู้ผลิตเพียงรายเดียว
4. เตรียมความพร้อมขององค์กรที่จะเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตได้ทันที รวมทั้งเป็นการเตรียมความรู้ของบุคลากรเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตด้วย
5. การเข้ารหัส   (Encryption) เป็นการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปที่เป็นรหัสลับ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตทำการอ่านข้อมูลนั้น นิยมใช้ในการส่งข้อมูลที่สำคัญผ่านระบบเครือข่าย เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต ข้อมูลทางการค้า เป็นต้น

 การใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการปฏิบัติงานองค์กร
อิเทอร์เน็ต(Internet)กำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยองค์กรทางทหาร ของสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ยู.เอส.ดีเฟนซ์ ดีพาร์ทเมนท์ ( U.S. Defence Department ) เป็นผู้คิดค้นระบบขึ้นมา มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้มีระบบเครือข่ายที่ไม่มีวันตายแม้จะมีสงคราม ระบบการสื่อสารถูกทำลาย หรือตัดขาด แต่ระบบเครือข่ายแบบนี้ยังทำงานได้ซึ่งระบบดังกล่าวจะใช้วิธีการส่งข้อมูลในรูปของคลื่นไมโครเวฟ ฝ่ายวิจัยขององค์กรจึงได้จัดตั้งระบบเน็ตเวริ์กขึ้นมา เรียกว่า ARPAnet ย่อมาจากคำว่า Advance Research Project Agency net ซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมในหมู่ของหน่วยงานทหาร องค์กร รัฐบาล และสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นอย่างมาก  การเชื่อมต่อในภาพแรกแบบเดิม ถ้าระบบเครือข่ายถูกตัดขาด ระบบก็จะเสียหายและทำให้การเชื่อมต่อขาดออกจากกัน แต่ในเครือข่ายแบบใหม่ แม้ว่าระบบเครือข่ายหนึ่งถูกตัดขาด เครือข่ายก็ยังดำเนินไปได้ไม่เสียหาย เพราะโดยตัวระบบก็หาช่องทางอื่นเชื่อมโยงกันจนได้ในระยะแรก เมื่อ ARPAnet ประสบความสำเร็จ ก็มีองค์กรมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ความสนใจเข้ามาร่วมในโครงข่ายมากขึ้น โดยเน้นการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Mail ) ระหว่างกันเป็นหลัก ต่อมาก็ได้ขยายการบริการไปถึงการส่งแฟ้มข้อมูลข่าวสารและส่งข่าวสารความรู้ทั่วไป แต่ไม่ได้ใช้ในเชิงพาณิชย์ เน้นการให้บริการด้านวิชาการเป็นหลัก  ปี พ.ศ. 2523 คนทั่วไปเริ่มสนใจอินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีการนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในเชิงพาณิชย์ มีการท าธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต บริษัท ห้างร้านต่างๆ ก็เข้าร่วมเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมากขึ้น  ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ( Prince of Songkla University ) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที ( AIT ) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ( โครงการ IDP ) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC ( Thailand ) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน ( Domain ) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand
การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ตในการทำงานขององค์กร
1.     การรับส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic-Mail(E-mail = Electronic Mail) หรือเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะการรับและส่งข้อมูลเหมือนกับการติดต่อสื่อสารประเภทจดหมาย คือ มีการพิมพ์ข้อความผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แทนการเขียนข้อความลงในกระดาษแล้วใช้การส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายจากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งแทนการส่งจดหมายผ่านทางไปรษณีย์ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ยังสามารถใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในบริษัทหรือสำนักงานโดยใช้โปรแกรมไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เฉพาะภาย ในบริษัทหรือสำนักงาน ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็ได้
ประโยนช์ของการใช้E-Mail
รวดเร็ว เชื่อถือได้
1.            ประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่ง อละลดการใช้กระดาษ
2.            ลดเวลาในการส่งเอกสารลง เพราะผู้ส่งไม่ต้องเสียเวลาไปส่งเอง หรือรอรษณีย์ไปส่งให้
3.            ผู้ส่งสามารถส่งเอกสารได้ตลอดเวลาไม่จำกัดเวลา หรือระยะทางในการส่ง ในขณะที่ผู้อ่านก็สามารถเปิดอ่านเอกสารได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
4.            สามารถโอนย้ายไฟล์ หรือส่งไฟล์ต่างๆ ไปกับจดหมายที่ทำการส่งได้
5.            สามารถส่งต่อกันได้สะดวกและผู้ส่งสามารถส่งให้ผู้รับได้พร้อมกันหลายคนในเวลาเดียวกัน

1.            การโอนย้ายแฟ้มข้อมูลระหว่างกัน(File Transfer)
เป็นระบบที่ทำหน้าให้ผู้ใช้สามารถรับส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์ข้อมูลระหว่างกันหรือมีสถานีให้บริการ เก็บแฟ้มข้อมูลที่อยู่ในที่ต่างๆ และให้บริการ ใช้สามารถไปคัดเลือกนำแฟ้มข้อมูลนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยการโอนย้ายไฟล์ ดังนี้
1.1               การดาวน์โหลดไฟล์ (Download File) การดาวน์โหลดไฟล์ คือ การับข้อมูลเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของู้ใช้ ในปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่จัดใก้จัดให้มีการดาวน์โหลดโปรแกรมได้ฟรี เช่น www.download.com
1.2                 การอัพโหลดไฟล์ (Upload File) การอัพโหลดไฟล์คือการนำไฟล์ข้อมูลจากเครื่องของผู้ใช้ไปเก็บไว้ในเครื่องที่ให้บริการ (Server) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น กรณีที่ทำการสร้างเว็บไซต์จะมีการอัพโหลดไฟล์ไปเก็บไว้ในเครื่องบริการเว็บไซต์ (Web Server) ที่เราขอใช้บริการพื้นที่ (Web Server) โปรแกรมที่ช่วยในการอัพโหลดไฟล์เช่น FTP Commander
2.              การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในที่ห่างไกล การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้ากับเครือข่ายทำให้เราสามารถติดต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นสถานีบริการในที่ห่างไกลได้ถ้าสถานีบริการนั้นยินยอม ทำให้ผู้ใช้สามารถนำข้อมูลไปประมวลผลยังเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครือข่ายเช่นนักเรียนในประเทศ ไทยส่งโปรแกรมไปประมวลผลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่บริษัทในประเทศญี่ปุ่นผ่านทางระบบเครือข่ายโดยไม่ต้องเดินทางไปเอง
3.             การเรียนค้นข้อมูลข่าวสาร ปัจจุบันมีฐานข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ให้ใช้งานจำนวนมาก ฐานข้อมูลบางแห่งเก็บข้อมูลในรูปสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ใช้สามารถเรียกอ่าน หรือนำมาพิมพ์ ฐานข้อมูลนี้จึงมีลักษณะเหมือนเป็นห้องสมุดขนาดใหญ่อยู่ภายในเครือข่ายที่สามารถค้นหาข้อมูลใดๆ ก็ได้ ฐานข้อมูลในลักษณะนี้เรียกว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
4.             ใช้ในการประชาสัมพันธ์องค์กร  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยอดนิยม