คลังบทความ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561

บทที่4

หน่วยการเรียนรู้ที่4 
การเชื่อมต่อระบบเครือข่ายเบื้องต้น

จุดประสงค์ของการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ใช้ในสมัยแรก ๆ นั้น เพื่อให้คอมพิวเตอร์ได้ทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ได้  เช่น  การคำนวณเลข  ซึ่งถ้าเป็นตัวเลขจำนวนมาก ๆ   มนุษย์จะใช้เวลาในการคำนวณมากและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดได้มาก ในขณะที่คอมพิวเตอร์สามารถคำนวณได้เร็วกว่ามาก  อีกทั้งยังมีความแม่นยำและมีความผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์มาก  การทำงานจะให้มีประสิทธิภาพสูงจะ ต้องทำเป็นหมู่คณะ  หรือทีมเวิร์ค  (Teamwork)  คอมพิวเตอร์ก็ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อทำงานแทนมนุษย์ก็จำเป็นที่ต้องมีการสื่อสารซึ่งกันและกันเช่นกัน   ฉะนั้นคอมพิวเตอร์เครื่องใดที่ไม่ได้เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องอื่นก็เปรียบเสมือนคนที่ชอบความสันโดษ ในการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายนั้น  เป็นสาเหตุที่เนื่องมาจากการที่ผู้ใช้ต้องการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีม ซึ่งการทำงานแบบนี้ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานแบบเดี่ยว
ระบบ Client/Server      เป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายแบบ server-based โดยจะมีคอมพิวเตอร์หลักเครื่องหนึ่งเป็น เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลทั้งหมดให้เครื่องลูกข่าย หรือไคลเอนต์ (client) เซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่เสมือนเป็นที่เก็บข้อมูลระยะไกล (remote disk) และประมวลผลบางอย่างให้กับไคลเอนต์เท่านั้น เช่น ประมวลผลคำสั่งในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล (database server)

รูปแบบของClient/Server
1.    Stand-alone client/Server มีผู้ใช้บริการผู้ให้บริการอยู่ในเครื่องเดียวกัน

2.    Department Client/Server ระบบ Client/Server ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองแนวคิดการ Downsizing เป็นการลดค่าใช้จ่ายระบบ Time Sharing ของเครื่อง Mainframe ซึ่งระบบ Client/Server เป็นระบบประมวลแบบกระจาย (Distributed Processing) โดยจะแบ่งการประมวลผลระหว่าง Client และ Server โปรแกรมประยุกต์ (Application Program) จะประมวลผลบางส่วนที่ Client .และบางส่วนก็ประมวลที่ server


3.    Enterprise Client/Server เป็นการทำงานที่เชื่อมโยงเครื่องServer ต่าง Platformเข้ากันด้วย สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ โดยผ่านMiddleware 



ตัวกลางการเชื่อมต่อเครือข่าย

ตัวกลางหรือตัวกลางการสื่อสารข้อมูล(Communication Medium) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารข้อมูล เพราะจะทำให้คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้ การเลือกใช้ตัวกลางที่เหมาะสม จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการส่งและประหยัดต้นทุนในการสื่อสารขององค์กรได้ตัวกลางที่ใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มี 2 ประเภท ดังนี้
1.    ตัวกลางในการนำข้อมูลแบบมีสาย
2.    ตัวกลางในการนำข้อมูลแบบไร้สาย

            ตัวกลางในการนำข้อมูลแบบมีสาย
1.    โมเด็ม (Modem)  โมเด็มเป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เมื่อข้อมูลถูกส่งมายังผู้รับละแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร  กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า มอดูเลชัน (Modulation) โมเด็มทำหน้าที่ มอดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเด็มแปลงสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เรียกว่า ดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเด็มหน้าที่ ดีมอดูเลเตอร์ (Demodulator)โมเด็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภทโมเด็กในปัจจุบันทำงานเป็นทั้งโมเด็มและ เครื่องโทรสาร เราเรียกว่า Faxmodem

1.      การ์ดเครือข่าย (Network Adapter) การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย หรือเรียกว่าการ์ด LAN เป็นการ์ดสำหรับต่อเครื่องพีซี เข้ากับสายเคเบิล ดังนั้นจึงต้องมีพอร์ตสำหรับเสียบสายแบบใดแบบหนึ่งที่จะใช้ หรืออาจมีพอร์ตสำหรับสายหลายแบบก็ได้ เช่น มีพอร์ตสำหรับสายโคแอกเชียล และสำหรับสายคู่ตีเกลียว แต่สำหรับการ์ดรุ่นใหม่ๆ มักจะเหลือแต่พอร์ตสำหรับสายคู่ตีเกลียวเพราะปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยม นอกจากนี้ยังมีการ์ดที่ทำมาสำหรับใช้ต่อกับสายใยแก้วนำแสงซึงมักจะมีราคาแพงและใช้เฉพาะบางงาน






2.    เราเตอร์ (Router) Router คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าแปลความหมายคำว่า Route ก็คือ ถนน นั่นเอง ดังนั้น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วย Router ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้มากกว่าหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน ซึ่ง Router นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานเรียกว่า Internetwork Operating System (IOS) และตัว Router จะมีช่องที่ใช้เสียบต่อสายสัญญาณเรียกว่า Port LAN ซึ่งโดยทั่วไปมักมี 4 Ports หรือมากกว่า ใน Router 1 ตัว

3.    ฮับ (Hub) เป็นอุปกรณ์ศูนย์กลาง ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เข้าด้วยกัน       ฮับ (HUB) ในระบบเครือข่าย    ฮับเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณของอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน การจะทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักกัน หรือส่งข้อมูลถึงกันได้จะต้องผ่านอุปกรณ์ตัวนี้ ปัจจุบันฮับถูกเปรียบเทียบกับ Switch ซึ่งความสามารถสูงกว่า และถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณในระบบเครือข่าย เรียกว่าฮับตกกระป๋อง      โดยทั่วไปจะมีลักษณเหมือนกล่องสีเหลี่ยมแต่แบน มีความสูงประมาณ 1-3 นิ้ว แล้วแต่รุ่น มีช่องเล็กๆ เอาไว้เสียบสายแลนแต่ละเส้นที่ลากโยงมาจากคอมพิวเตอร์ มีหลายรุ่น เช่น Hub 4 Ports, 8 Ports, 16 Ports, 24 Ports หรือ 48 Ports เป็นต้น หน้าตารูปร่างของฮับจะเหมือนกัน Switch ดังนั้นการเลือกซือต้องระวังให้ดี

4.    อุปกรณ์สวิตช์(Switch) เป็นอุปกรณ์เครือข่ายเช่นเดียวกันกับฮับ ( hub) และมีหน้าที่คล้ายกับฮับมาก แต่มีความแตกต่างที่ ในแต่ละพอร์ต (port) จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้สูงกว่า เช่น สวิตช์ที่มีความเร็ว 10 Mbps นั้น จะหมายความว่า ในแต่ละพอร์ตจะสามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว 10 Mbps และนอกจากนั้นเครื่องทุกเครื่องที่ต่อมายังสวิตช์ยังไม่ได้อยู่ใน Collision Domain เดียวกันด้วย (ซึ่งถ้าฮับจะอยู่) นั่นหมายความว่าแต่ละเครื่องจะได้ครอบครองสายสัญญาณแต่เพียงผู้เดียว จะไม่เกิดปัญหาการแย่งสายสัญญาณ และการชนกันของสัญญาณเกิดขึ้นสวิตช์จะมีความสามารถมากกว่าฮับ แต่ยังมีการใช้งานอยู่ในวงจำกัดเพราะราคายังค่อนข้างสูงกว่าฮับอยู่มาก ดังนั้นจึงมีการนำสวิตช์มาใช้ในระบบเครือข่ายที่ต้องการแบ่ง domain เพื่อเพิ่มความเร็วในการติดต่อกับระบบ โดยอาจนำสวิตช์มาเป็นศูนย์กลาง และใช้ต่อเข้ากับเครื่องที่มีการเชื่อมต่อกับเครื่องอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เพื่อจะได้ส่งข้อมูลได้ทีละมาก ๆ และส่งด้วยความเร็วสูง
1.    เครื่องทวนสัญญาณ(Repeater)   เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณดิจิทัล แล้วส่งต่อออกไปยังอุปกรณ์ต่ออื่น เหตุที่ต้องใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณ เนื่องจากการส่งสัญญาณไปในตัวกลางที่เป็นสายสัญญาณนั้น เมื่อระยะทางมากขึ้นแรงดันของสัญญาณจะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถส่งสัญญาณในระยะทางไกลๆ ได้ ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ทวนสัญญาณจะทำให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น โดยสัญญาณไม่สูญหาย
 


1.    บริดจ์(Bridge) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน ซึ่งดูแล้วคล้ายกับเป็นสะพานเชื่อมสองฟากฝั่งเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกอุปกรณ์นี้ว่า “ บริดจ์” ซึ่งแปลว่าสะพาน เครือข่ายสองเครือข่ายที่นำมาเชื่อมต่อกันจะต้องเป็นเครือข่ายชนิดเดียวกัน และใช้โปรโตคอลในการรับส่งข้อมูลเหมือนกัน เช่น ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายตามมาตรฐานอีเทอร์เน็ตสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน หรือต่อ Token Ring สองเครือข่ายเข้าด้วยกัน
1.    เกตเวย์(Gateway) เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใช้สื่อส่งข้อมูลต่างชนิดกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งแบบ UTP เข้ากับ Token Ring LAN ได้
1.  ตัวกลางในการนำข้อมูลแบบไร้สาย
.  แลนการ์ดไร้สาย(Wireless LAN Card) แลนการ์ดไร้สาย (Wireless LAN Card)ทำหน้าที่ในการ แปลงข้อมูล ดิจิตอล ที่ได้จากการประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นคลื่นวิทยุแล้วส่งผ่านสายอากาศให้กระจายออกไป และทำหน้าที่ในการรับเอาคลื่นวิทยุที่แพร่กระจายแปลงเป็น ข้อมูลดิจิตอล ส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผล Wireless LAN ที่ผลิตออกมาจำหน่าย มีหลายรูปแบบแบ่งตามลักษณะช่องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้ดังนี้
แลนการ์ดแบบ PCI
แลนการ์ดแบบ PCMCIA
แลนการ์ดแบบ USB
แลนการ์ดแบบ Compact Flash (CF)
2.  อุปกรณ์เข้าใช้งานเครือข่าย(Wireless Access Point) ทำหน้าที่เสมือนฮับเชื่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้สายและอุปกรณ์ไวร์เลสแลนแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็น สะพานเชื่อมต่อเครื่อง Wireless LAN เข้ากับเครื่องอิเตอร์เน็ต ทำให้ระบบทั้งสองสามารถสื่อสารกันได้
3.  สะพานเชื่อมโยงไร้สาย(Wireless Bridge) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงระบบเครือข่ายอีเทอร์แลยตั้งแต่สองระบบขึ้นไปเข้าด้วยกันแทนการใช้สายสัญญาณ ข้อมูลั้สื่อสารระหว่างเครือข่ายอีเทอร์เน็ตจะถูกแปลงเป็นคลื่นวิทยุแล้วถูกแปลงไปยังปลายทาง
4.  Wireless Broadband Routerทำหน้าที่ในการต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่นคู่สายโทรศัพท์ (ADSL) หรือเคเบิลทีวี (UBC) ด้วยเทคโนโลยี Broadband Router ซึ่งมีฟังก์ชันการทำงานเป็นตัวค้นหาเส้นทาง, NAT (Network Address Translation) ,Firewall, VPN ฯลฯ  มาผสมผสานเข้ากับAccess Point ทำให้ ผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ไร้สายสามารถสื่อสารข้อมูลไปยังระบบอินเทอร์เน็
โปรโตคอล
  โปรโตคอล (Protocol)    โปรโตคอล คือ ข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ หรือภาษาสื่อสารที่ใช้เป็น ภาษากลางในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกเชื่อมโยงกันไว้ในระบบจะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้นั้น จำเป็นจะต้องมีการสื่อสารที่เรียกว่า โปรโตคอล (Protocol) เช่นเดียวกับคนเราที่ต้องมีภาษาพูดเพื่อให้สื่อสารเข้าใจกันได้
โปรโตคอลช่วยให้ระบบคอมพิวเตอร์สองระบบ ที่แตกต่างกันสามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้  คือข้อตกลงที่กำหนดเกี่ยว กับการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งวิธีการส่งและรับข้อมูล วิธีการตรวจสอบข้อผิดพลาดของการส่งและรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลเมื่อส่งและรับกันระหว่างเครื่องสองเครื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าโปรโตคอลมีความสำคัญมากในการสื่อสารบนเครือข่าย หากไม่มีโปรโตคอลแล้ว การสื่อสารบนเครือข่ายจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้
1.   โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) โปรโตคอลที่นิยใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเครือข่ายและโปรโตคอลหลักของเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
จุดกำเนิดต้นแบบของโปรโตคอล TCP/IP ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 เพื่อใช่ในกิจการทางการทหารของสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นโปรโตคอล TCP/IP ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นในหลายปีต่อมาจนในปัจจุบันโปรโตคอลนี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ถึงจะมีอายุเก่าแก่ถึง 30 กว่าปีก็ตาม โปรโตคอล TCP/IP ประกอบขึ้นด้วยโปรโตคอลย่อยหลายตัวซึ่งแต่ละตัวกำงานในแต่ละส่วนแตกต่างกันไปดังนี้
1.   โปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองตัวในเครือข่าย TCP/IP โดยTCP จะใช้พอร์ตเสมือน (Virtual Port)ในการเชื่อมต่อและคอยตรวจสอบส่งข้อมูล
2.   โปรโตคอล IP (Internet Protocol) ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับที่อยู่ของข้อมูลและส่งไปยังปล่อยทางที่ถูกต้องในเครือข่าย TCP/IP โปรโตคอล FTP(File Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายไฟล์ข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ต่างประเภทต่างระบบในเครือข่าย TCP/IP โปรโตคอล HTTP (Hyper Text Transfer Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ในการส่งข้อมูลในบริการเวิลด์ไวลืเว็บ โดยส่งจากเว็บเซิร์ฟเวอร์ไปยังเว็บบราวเซอร์ของผู้ใช้3.   โปรโตคอล UDP (User Datagram Protocol) ใช้พอร์ตเสมือนในการส่งข้อมูลระหว่างสองแอพพลิเคชั่นในเครือข่าย TCP/IP โปรโตคอล UDP ทำงานได้เร็วกว่า TCP แต่ไม่ค่อยมีเสถียงภาพมากนักโปรโตคอล DHCP (Dynamic Host Conguration  Protocol)ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์เครือข่ายโดยทำหน้าที่บริหารตัวเลข IPโปรโตคอลDNS (Domain Name System) ใช้เป็นหลักฐานข้อมูลแปลงดดเมนเนมไปเป็นตัวเลข IPเช่น เมื่อผู้ใช้พิมพ์โดเมนเนม www.company.com ลงไปในเว็บบราวเซอร์โปรแกรมก็จะวิ่งไปถามเซิร์ฟเวอร์ DNS ว่าตำแหน่งของโดเมนเนมนี้อยู่ที่ใด ตัว DNS ก็จะบอก ตัวเลข IPเช่น 1 92.168.53.3 มาให้WINX (Windows Internet Name Service) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในเครือข่ายTCP/IP ของไมโครซอฟท์ เครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่รัน WINS สามารถเปลี่ยนระบบชื่อคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายไมโครซอฟท์ไปเป็นตัวเลข IP ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ใรเครือข่ายของไมโครซอฟท์สามารถติดต่อสื่อสารกับเครือข่ายอื่นที่ใช้โปรโตคอล  TCP/IP ได้ สำหรับฮาร์ดแวร์ของเครือข่อย การที่จะนำเอาคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายนั้น จะต้องมีอุปกรณ์เฉพาะของเครือข่ายด้วยกัน
2.  โปรโตคอล จุดต่อจุด (Point-to-Point Protocol)การเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายบางครั้งมีความจำเป็นต้องใช้การสื่อสารแบบอนุกรมแบบอะซิงโครนัส เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น ข้อจำกัดทางด้านการลงทุน หรือต้องการใช้เครือข่ายผ่านโมเด็ม  หรือการใช้สายสื่อสารเชื่อมโดยตรงระหว่างเครืองคอมพิวเตอร์กับความพิวเตอร์ TCP/IP สามารถรองรับการทำงานในลักษณะนี้โดยใช้โปรโตคอลระดับดาตาลิงค์แบบจุดต่อจุดที่ออกแบบมาเพื่การสื่อสารแบบอนุกรม โปรโตคอลแบบจุดต่อจุดที่ใช้แพร่หลายปัจจุบัน ได้แก่ สลิป (Serial Line Inter Protocol: SLIP)และพีพีพี (Point-to-Point Protocol)
3.    IP Address คือ หมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP ถ้าเปรียบเทียบก็คือบ้านเลขที่ของเรานั่นเอง ในระบบเครือข่าย จำเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กำหนดไว้ให้กับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องการ IP ทั้งนี้เวลามีการโอนย้ายข้อมูล หรือสั่งงานใดๆ จะสามารถทราบตำแหน่งของเครื่องที่เราต้องการส่งข้อมูลไป จะได้ไม่ผิดพลาดเวลาส่งข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด  เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1  เป็นต้น  โดยหมายเลข IP Address ของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีค่าไม่ซ้ำกัน สิ่งตัวเลข 4 ชุดนี้บอก คือ Network ID กับ Host ID ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า เครื่อง Computer ของเราอยู่ใน Network ไหน และเป็นเครื่องไหนใน network นั้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Network ID และ Host ID มีค่าเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับว่า IP Address นั้น อยู่ใน class อะไร
     เหตุที่ต้องมีการแบ่ง class ก็เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบ เป็นการแบ่ง IP Address ออกเป็นหมวดหมู่นั้นเอง สิ่งที่จะเป็นตัวจำแนก class ของ network ก็คือ bit ทางซ้ายมือสุดของตัวเลขตัวแรกของ IP Address (ที่แปลงเป็นเลขฐาน 2 แล้ว) นั่นเอง โดยที่ถ้า bit ทางซ้ายมือสุดเป็น 0 ก็จะเป็น class A ถ้าเป็น 10 ก็จะเป็น class B ถ้าเป็น 110 ก็จะเป็น class C ดังนั้น IP Address จะอยู่ใน class A ถ้าตัวเลขตัวแรกมีค่าได้ตั้งแต่ 0 ? 127 (000000002 ? 011111112) จะอยู่ใน class B ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 128 ? 191 (100000002 ? 101111112) และ จะอยู่ใน class C ถ้าเลขตัวแรกมีค่าตั้งแต่ 192 - 223 (110000002 ? 110111112) มีข้อยกเว้นอยู่นิดหน่อยก็คือตัวเลข 0, 127 จะใช้ในความหมายพิเศษ จะไม่ใช้เป็น address ของ network ดังนั้น network ใน class A จะมีค่าตัวเลขตัวแรก ในช่วง 1 ? 126
  สำหรับตัวเลขตั้งแต่ 224 ขึ้นไป จะเป็น class พิเศษ  อย่างเช่น  Class D ซึ่งถูกใช้สำหรับการส่งข้อมูลแบบ Multicast ของบาง Application และ Class E ซึ่ง Class นี้เป็น Address ที่ถูกสงวนไว้ก่อน ยังไม่ถูกใช้งานจริง ๆ  โดย Class D และ Class E นี้เป็น Class พิเศษ ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้งานในภาวะปกติ
4.    Ethernet เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เป็นฐานหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหมด เนื่องจากเป็นเทคโนโลยี LAN ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เทคโนโลยีนี้ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงภายใต้ความดูแลรับผิดชอบของ IEEEสิ่งสำคัญที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง คือ "ความเร็วในการรับส่งข้อมูล (Bandwidth)" โดยมีการปรับปรุงความเร็วจาก 10 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) เป็น 100 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเรียก Ethernet นี้ว่า Fast Ethernet มีทั้งระบบการส่งสัญญาณแบบกึ่งทางคู่ (Half-Duplex) และแบบทางคู่ (Full-Duplex) ซึ่งได้รับความนิยมมากกว่า ATM (Asynchronous Transfer Mode)

5.    NetBEUI (NetBIOS Extended Use Interface)เป็นโปรโตคอลที่พัฒนามาจากNet-BIOS เริ่มใช้งานประมาณปี ค.1985 ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับเครือข่ายขนาดเล็ก เช่นระบบLANที่มีเครือ่งคอมพิวเตอร์

6.    IPX/SPX (Intenetwork Packet Exchange / Sequanced Packet Exchange) โปรโตคอลที่พัฒนามจาก XNS Protocol (ของบริษัท Xerox Corporation และทางบริษัทNovell ได้นำมาพัฒนาให่มีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น)จะมีความสามารถในการค้นหาเส้นทางสำหรับเครือข่ายระบบ LAN แลพ WAN ทางไมโครซอฟทืก็สนับสนุนโปรโตคอลตัวนี้แต่เรียกว่าNWLink IPX/SPX Compatible Transport protocol ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย

7.    DLC (Data Link Control ) เป็นโปรโตคอลที่ออกแบบพัฒนาโดยบริษัทIBM เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อสื่อสารกับเครืองเมนเฟรมของ IBM, AS /400 ที่ใช้สถาปัตยกรรมเครือข่ายSNA (System Network Architecture)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ยอดนิยม