หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ จำแนกออกได้ประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้ เช่น ลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลคอมพิวเตอร์ เป็นต้น สามารถแบ่งออกได้ 5 ประเภท ดังนี้
1.เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN)
2.ระบบเครือข่ายระดับเมือง(Metropolitan Area Network: MAN)
3.ระบบเครือข่ายระยะไกล (Wide Area Network: WAN)
4. ระบบเครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet)
5.ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)
5.ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)
เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN)
เป็นระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ในบริเวณใกล้ เคียงเข้าด้วยกัน เช่น ในห้อง 1 ห้อง หรือในชั้น 1 ชั้น โดยทั่วไป LAN จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์ ต่าง ๆ ในอาคาร เพื่อจะทำการใช้ข้อมูลและอุปกรณ์ที่มีราคาแพง เช่น เครื่องพิมพ์ร่วมกัน ในระบบโรงงานจะมีการใช้ระบบ LAN มาก โดยการเชื่อมโยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับ เครื่องจักรที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์นั้น ๆ ส่วนประกอบที่สำคัญมากในระบบ LAN คือ file server เป็นอุปกรณ์ที่ ทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ ดูแลอะไรอยู่ที่ไหนด้วยการจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรม ตลอดจนกำหนดวิธีการในการเข้าถึงข้อมูล ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ server จะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่าย หรือ NOS ( Network Operating System ) เช่น Novell Netware, Windows NT, UNIX เป็นต้น
ชนิดการเชื่อมต่อของเครือข่ายท้องถิ่น (LAN)
ระบบเครือข่ายแบบ LAN หรือระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณ โดยปกติแล้วจะเป็นระบบเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) นั่นคือองค์กรที่ต้องการใช้งานเครือข่าย ทำการสร้าง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายในระยะใกล้ ๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่องค์กรและธุรกิจต่างๆ มากมาย เช่น
- สามารถแบ่งเบาการประมวลผลไปยังเครื่องต่างๆ เฉลี่ยกันไป
- สามารถแบ่งกันใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ ซีดีรอมไดร์ฟ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นต้น
- สามารถแบ่งกันใช้งานซอฟต์แวร์และข้อมูลหรือสารสนเทศต่างๆ รวมทั้งทำให้สามารถจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้เพียงที่เดียว
- สามารถวางแผนหรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มได้ แม้จะไม่ได้อยู่ใกล้กันก็ตาม
- สามารถใช้ในการติดต่อกัน เช่น ส่งจดหมายทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการส่งเสียงหรือภาพทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายโดยรวมขององค์กร
· เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) นั้น จุดประสงค์หลักอย่างหนึ่งก็คือการแบ่งกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทรัพยากรเหล่านั้นอาจเป็นหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ความเร็วสูง ฮาร์ดดิสก์ เครื่องพิมพ์ หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมอยู่กับคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง
วิธีการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดสรรการใช้งานทรัพยากรในระบบเครือข่ายสามารถจำแนกได้เป็น 3 รูปแบบ คือ
เครือข่ายแบบ Peer-to-Peer
เครือข่ายแบบ Server-based
เครือข่ายแบบ Client/Server
ข้อดีและข้อเสียของเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1.การลงทุนติดตั้งของเครือข่ายไม่สูงมากเหมาะสำหรับกรที่มีความพิวเตอร์ไม่เกิน 10เครื่อง
2.ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ดูแลระบบ(Admin)
โดยผู้ใช้งานสามารถที่จะกำหนดสิทธิต่างๆในการทำงานระบบด้วยตนเอง
3.ไม่จำเป็นต้งใช้งานระบบปฏิบัติการเครือข่าย เนื่องจากสามารถสร้างเครือข่าย นี้ได้จากระบบปฏิบัติการทั่วไปได้ทันที
|
1.ไม่เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์มากกว่า 10 เครือง
2.หากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดมีการแชร์ไว้บนเครือข่าย จะทำให้เครื่องทุกเครื่องสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ และถ้าต้องการใช้ข้อมูลนั้นพร้อมกันก็จะทำให้เครือข่ายทำงานได้ช้า
3.ระบบความปลอดภัยของข้อมูล
1.การสำรองข้อมูลมีความยุ่งยากเนื่องจากข้อมูลการ
2.กระจายเพราะถูกจัดเก็บไว้ไนแต่ละเครื่อง
|
2. เครือข่ายแบบ Server-Based ระบบเครือข่ายแบบนี้จะมีคอมพิวเตอร์หลักอยู่หนึ่งเครื่องเรียกว่า เซิร์ฟเวอร์ (server) หรือเครื่องแม่ข่าย ทำหน้าที่เก็บข้อมูล โปรแกรม และแชร์ไฟล์หรือโปรแกรมนั้นให้กับเครื่องลูกข่าย อีกทั้งยังทำหน้าที่ประมวลผล และส่งผลลัพธ์ที่ได้ไปให้เครื่องลูกข่าย ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องให้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นในเครือข่ายที่ร้องขอเข้ามา รวมทั้งเป็นยังผู้จัดการดูแลการจราจรในระบบเครือข่ายทั้งหมด
เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆ ในเครือข่าย จะสามารถเข้าใช้งานไฟล์ต่าง ๆ ในเซิร์ฟเวอร์ได้ แต่ไม่สามารถเข้าใช้งานไฟล์ในเครื่องอื่นๆ ได้ นั่นคือการติดต่อกันระหว่างเครื่องต่างๆ จะต้องผ่านเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เครื่องผู้ใช้จะทำการประมวลผลในงานของตนเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ในการให้บริการกับเครื่องอื่นๆ ในระบบ
เซิร์ฟเวอร์จะต้องมีหน่วยความจำสำรอง (harddisk) ขนาดใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลทั้งหมด และควรเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง ชนิดของเซิร์ฟเวอร์มีได้ 2 รูปแบบคือ
(1) Dedicated server หมายถึง เซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่บริการอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในงานทั่วๆ ไปได้ ข้อดีคือทำให้ระบบมีเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพสูง ข้อเสียคือไม่สามารถใช้งานเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงได้
(2) Non-dedicated server หมายถึง เซิร์ฟเวอร์ที่สามารถใช้งานได้ตามปกติเหมือนเครื่องลูกข่าย ซึ่งมีข้อเสียที่สำคัญคือประสิทธิภาพของเครือข่ายจะลดลง ทำให้วิธีนี้ไม่เป็นที่นิยมในการใช้งาน
3. เครือข่ายแบบ Client/Server เป็นรูปแบบหนึ่งของเครือข่ายแบบ server-based โดยจะมีคอมพิวเตอร์หลักเครื่องหนึ่งเป็น เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจะไม่ได้ทำหน้าที่ประมวลผลทั้งหมดให้เครื่องลูกข่าย หรือไคลเอนต์ (client) เซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่เสมือนเป็นที่เก็บข้อมูลระยะไกล (remote disk) และประมวลผลบางอย่างให้กับไคลเอนต์เท่านั้น เช่น ประมวลผลคำสั่งในการดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูล (database server) เป็นต้น
ข้อดีและข้อเสียของเครือข่ายแบบ Client/Server
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. มีความปลดภัยในระบบเครือข่ายสูง
2. เป็นเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ สามารถเชื่อมต่อเครื่องลูกข่ายได้จำนวนมาก
3. การสำรองข้อมูลได้ง่าย เพราะสามารถ สำรองข้อมูลจากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้เพียงเครื่องเดียว
4. มีความเสถียงภาพของเครือข่ายสูง
|
1. 1.ระบบมีความซับซ้อน ต้องมีผู้ที่มีความรู้ที่เกี่ยวกับเครือข่ายมาดูแลระบบ ต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง
2. ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีค่าใช้จ่ายการติดตั้งเป็นเครือข่ายที่มีราคาสูง |
เครือข่ายแบบ Client/Server นั้น เซิร์ฟเวอร์จะต้องทำงานบริการให้กับเครื่องไคลเอนต์ที่ร้องขอเข้ามา ซึ่งนับว่าเป็นงานประมวลผลที่หนักพอสมควร ดังนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ก็ควรจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลัง เพียงพอในการรองรับงานหนัก ๆ แบบนี้ในเครือข่าย
บริการ
อาจจะมีเซิร์ฟเวอร์อยู่หลายตัวในการทำงานเฉพาะด้าน เช่น ไฟล์เซอร์เวอร์ทำหน้าที่ในการจัดเก็บ และบริหารไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ในเครือข่าย พรินต์เซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมการพิมพ์ทั้งหมดในเครือข่าย ดาต้าเบสเซอร์เวอร์จัดเก็บและบริหารฐานข้อมูลขององค์กร เป็นต้น
โปรแกรม
องค์กรที่ใช้เครือข่ายแบบนี้ มักมีการเก็บโปรแกรมไว้บนเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปเรียกใช้ได้ทันที เช่น เซิร์ฟเวอร์เก็บโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสเซอร์ไว้ เมื่อผู้ใช้ต้องการใช้โปรแกรมนี้ก็สามารถรันโปรแกรมนี้จากเซิร์ฟเวอร์ได้
ขนาด
เครือข่ายแบบ Client/Server สามารถรองรับเครือข่ายตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ แต่ที่เหมาะสมจะเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
การบริหารระบบ
จะต้องมีเจ้าหน้าที่ในการบริหารระบบโดยเฉพาะ ซึ่งทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับงานพื้นฐานประจำวัน เช่น การสำรองข้อมูล การตรวจสอบระบบรักษาความปลอดภัย และการดูแลระบบให้ทำงานได้อย่างสม่ำเสมอ
ระบบรักษาความปลอดภัย
เครื่องเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่จะเปิดให้ทำงานตลอดเวลา และต้องมีการป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาปรับเปลี่ยนระบบภายในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เพื่อเป็นการป้องกันรักษาข้อมูล บริษัทส่วนใหญ่จึงมักจะเก็บเซิร์ฟเวอร์ไว้ในห้องที่แยกต่างหากและมีการปิดล็อคไว้เป็นอย่างดี
การขยายระบบ
เครือข่ายแบบ Client/Server ยืดหยุ่นต่อการเพิ่มเติมขยายระบบ การเพิ่มเครื่องไคลเอนต์ในเครือข่ายไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสเป็กสูง ราคาแพง โดยเครื่องที่มีสมรรถนะสูงนั้นเอาไว้ใช้เป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์
การดูแลซ่อมแซม
ปัญหาที่เกิดขึ้นในเครือข่ายแบบนี้หาพบได้ไม่ยาก เช่น ถ้าเครื่องไคลเอนต์หลาย ๆ เครื่องทำงานไม่ได้ ปัญหาก็มักจะมาจากที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ และถ้าเครื่องไคลเอนต์เครื่องใดมีปัญหาผู้บริหารระบบก็เพียงแก้ไขที่เครื่องนี้ ซึ่งจะไม่กระทบต่อเครื่องไคลเอนต์เครื่องอื่น
ระบบเครือข่ายแมน (Metropolitan Area Network: MAN)
MAN ย่อมาจาก Metropolitan Area Network คือ เครือข่ายระดับเมือง ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มักเชื่อมโยงกันเฉพาะในเขตเมืองเดียวกัน หรือหลายเขตเมืองที่อยู่ใกล้กัน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ระบบเครือข่าย MAN เป็นกลุ่มของเครือข่าย LAN ที่นำมาเชื่อมต่อกันเป็นวงที่ใหญ่ขึ้นภายในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานให้ครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ซึ่งอาจเป็นเครือข่ายเดียวกัน เช่น เครือข่ายเคเ้บิลทีวี หรืออาจเป็นการรวมเครือข่ายกันของเครือข่าย LAN หลาย ๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน
ตัวอย่าง เช่น ภายในมหาวิทยาลัยหรือในสถานศึกษาหนึ่งๆ จะมีระบบ MAN เพื่อเชื่อมต่อระบบ LAN ของแต่ละคณะวิชาเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเดียวกันในวงกว้าง เทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่าย MAN ได้แก่ ATM, FDDI และ SMDS ระบบเครือข่าย MAN ที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้ คือระบบที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ภายในเมืองเข้าด้วยกันโดยผ่านเทคโนโลยี Wi-Max
สำนักงาน
โรงงาน
ระบบเครือข่ายแวน(Wide Area Network: WAN)
เครือข่าย WAN สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ
1 . เครือข่ายส่วนตัว (private network) เป็นการจัดตั้งระบบเครือข่ายซึ่งมีการใช้งานเฉพาะองค์กร เช่น องค์กรที่มีสาขาอาจทำการสร้างระบบเครือข่าย เพื่อเชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขาที่มีอยู่ เป็นต้น
การจัดตั้งระบบเครือข่ายส่วนตัวมีจุดเด่นในเรื่องของการรักษาความลับของข้อมูล สามารถควบคุมดูแลเครือข่ายและขยายเครือข่ายไปยังจุดที่ต้องการ ส่วนข้อเสียคือในกรณีที่ไม่ได้มีการส่งข้อมูลต่อเนื่องตลอดเวลา จะเสียค่าใช้จ่ายสูงมากเมื่อเทียบกับการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายสาธารณะ และหากมีการส่งข้อมูลระหว่างสาขาต่างๆ จะต้องมีการจัดหาช่องทางสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างแต่ละสาขาด้วย ซึ่งอาจจะไม่สามารถจัดช่องทางการสื่อสารไปยังพื้นที่ที่ต้องการได้
1. เครือข่ายสาธารณะ (PDN: public data network) หรือบางครั้งเรียกว่าเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม (VAN: Value Added Network) เป็นเครือข่าย WAN ที่จะมีองค์กรหนึ่ง (third party) เป็นผู้ทำหน้าที่ในการเดินระบบเครือข่าย และให้เช่าช่องทางการสื่อสารให้กับ บริษัทต่างๆ ที่ต้องการสร้างระบบเครือข่าย ซึ่งบริษัทจะลดค่าใช้จ่ายของตนลงได้ เนื่องจากมีบุคคลอื่นมาช่วยแบ่งปันค่าใช้จ่ายไป ซึ่งจะนิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการจัดตั้งเครือข่ายส่วนตัว สามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาในการจัดตั้งเครือข่ายใหม่ รวมทั้งมีบริการให้เลือกอย่าง หลากหลาย ซึ่งแตกต่างกันไปทั้งในส่วนของราคา ความเร็ว ขอบเขตพื้นที่บริการ และความเหมาะสมกับงานแบบต่าง ๆในสหรัฐอเมริกามีการใช้ระบบในรูปแบบนี้ภายใต้การบริการของ GE (General Electric) ตั้งระบบชื่อ GEIS (GE Information Services Company) สำหรับประเทศไทย เริ่มมีแนวความคิดในการใช้ระบบนี้ในเครือข่าย GINET (Government Information Network) โดยทางเนคเทคจะตั้งเครือข่ายเพื่อการบริการ และให้หน่วยงานต่าง ๆ มาเชื่อมสัญญาณเข้าที่ระบบนี้
ระบบเครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet)
อินทราเน็ต(Intranet) คือ ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกันอินเทอร์เน็ต แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ง หรือระบบเครือข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทั่วประเทศ เป็นต้น เป็นการสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเปิดบริการคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเกือบทุกอย่าง แต่ยอมให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น เป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งาน ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตในองค์กร ก็คือ "อินทราเน็ต" นั่นเอง แต่ในช่วงที่ชื่อนี้ยังไม่เป็นที่นิยม ระบบอินทราเน็ต ถูกเรียกในหลายชื่อ เช่น Campus network, Local internet, Enterprise network เป็นต้น
อินทราเน็ต (intranet) คือ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบภายในองค์กร ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ในการใช้งานอินทราเน็ตจะต้องใช้โพรโทคอล IP เหมือนกับอินเทอร์เน็ต สามารถมีเว็บไซต์และใช้เว็บเบราว์เซอร์ได้เช่นกัน รวมถึงอีเมล ถ้าเราเชื่อมต่ออินทราเน็ตของเรากับอินเทอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ได้ทั้ง อินเทอร์เน็ต และ อินทราเน็ต ไปพร้อม ๆ กัน แต่ในการใช้งานนั้นจะแตกต่างกันด้านความเร็ว ในการโหลดไฟล์ใหญ่ ๆ จากเว็บไซต์ในอินทราเน็ต จะรวดเร็วกว่าการโหลดจากอินเทอร์เน็ตมาก ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากอินทราเน็ต สำหรับองค์กรหนึ่ง คือ สามารถใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet)
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันเป็นจำนวนมากครอบคลุมไปทั่วโลกโดยอาศัยโครงสร้างระบบสื่อสารโทรคมนาคมเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มีการประยุกต์ใช้งานหลากหลายรูปแบบ อินเทอร์เน็ตเป็นทั้งเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายของเครือข่าย เพราะอินเทอร์เน็ตประกอบด้วยเครือข่ายย่อยเป็นจำนวนมากต่อเชื่อมเข้าด้วยกันภายใต้มาตรฐานเดียวกันจนเป็นสังคมเครือข่ายขนาดใหญ่ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ ทำให้การเข้าสู่เครือข่ายเป็นไปได้อย่างเสรีภายใต้กฎเกณฑ์บางประการที่กำหนดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและวุ่นวายจากการเชื่อมต่อจากเครือข่ายทั่วโลก
ลักษณะการเชื่อมต่อของการเครือข่าย
ลักษณะการเชื่อมต่อเครือข่าย หมายถึง การสร้างเส้นทางการการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ด้วยกัน หรือเรียกว่าลิงค์ (Link) เชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์ให้สามารถสื่อสารกันได้ซึ่งมีอยู่2ลักษณะ
1. การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด (Point to Point) เป็นการเชื่อมโยงระหว่างเทอร์มินัลหรือคอมพิวเตอร์เพียง 2 เครื่อง โดยผ่านทางสายสื่อสารเพียง
2. สายเดียวและความยาวของสายไม่จำกัดสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ไม่ว่าจะเป็นแบบซิมเพล็กซ์ ครึ่งดูเพล็กซ์
3. ์ หรือดูเพล็กซ์เต็มก็ได้และสามารถส่งสัญญาณข้อมูลได้ทั้งแบบซิงโครนัสหรือแบบอะซิงโคนัสสายสื่อสาร
4. จะถูกจองการส่งข้อมูลอยู่ตลอดเวลา (Lease Line) ดังนั้นการเชื่อมโยงแบบจุดต่อจุดจึงเหมาะสมกับ
5. งานที่มีการรับส่งข้อมูลมากๆ และต่อเนื่อง เช่น การเช่าสายโทรศัพท์เพื่อใช้ในระบบ ATMตัวอย่าง
6. รูปแบบหรือโทโปโลยีของเชื่อมโยงแบบจุดต่อจุด
ข้อดีและข้อเสียของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบจุดต่อจุด(Point to Point)
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. สามารถใช้ความเร็วในการสื่อสารระหว่างกันได้เต็มความสามารถ เหมาะสำหรับ ติดต่อสื่อสารระหว่างกันในการส่งข้อมูลที่มีปริมาณไม่มาก
2. มีความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากเป็นการติดต่อกันโดยตรง
|
1. หากมีเครื่องที่ต้องการเชื่อมต่อจำนวนมาก ต้องใช้สายในเชื่อมต่อ ต่อกันทุกเครื่อง
2. ไม่เหมาะกับการเชื่อมโยงเครือข่ายขนาดใหญ่
|
2. การเชื่อมต่อแบบหลายจุด(Multi-Point) การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบหลายจุด หรือ Multi-Point คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้เส้นทางหรือลิงก์เพื่อการสื่อสารร่วมกันหรือกล่าวง่ายๆ คือ อุปกรณ์ต่างๆ สามารถสื่อสารระหว่างกันได้ด้วยการใช้ลิงก์หรือสายสื่อสารเพียงเส้นเดียว ดังนั้นวิธีการเชื่อมโยงชนิดนี้ทำให้ประหยัดสายส่งข้อมูลกว่าแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบจุดต่อจุด หรือ Point-to-Point โดยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่แล้วใช้วิธีการเชื่อมโยงแบบหลายจุด
ข้อดีและข้อเสียของการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบหลายจุด (Multi-Point)
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. ประหยัดสายสัญญาณที่เป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล
2. การเพิ่มจุดเชื่อมต่อสามารถเพิ่มได้โดยง่ายด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับสายส่งที่ใช้งานร่วมกันได้ทันที
3. เป็นการเชื่อมต่อที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารด้วยกันได้
|
1.หากสายสัญญาณที่ส่งข้อมูลขาด จะส่งผลต่อเครือข่ายทั้งระบบ
2.จากการใช้สายสัญญาณในการส่งข้อมูลร่วมกันจึงต้องมีการตัวจัดการควบคุมการส่งข้อมูล
3. ไม่เหมาะกับการส่งข้อมูลแบบต่อเนื่องที่มีข้อมูลในการส่งครั้งละมากๆ
|
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายคอพิวเตอร์
รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่าย โทโพโลยี(Topologies)เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายทางกายภาพ ประกอบด้วยการเชื่อมต่อ 5 รูปแบบ ได้แก่
1. โทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology)
2. โทโพโลยีแบบดาว(Star Topology)
3. โทโพโลยีแบบวงแหวน(Ring Topology)
4. โทโพโลยีแบบเมช(Mesh Topology)
5. โทโพโลแบบทรี(Tree Topology)
โดยการเชื่อมต่อแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะ และข้อดี ข้อเสียที่แตกต่างกันดังนี้
1. โทโพโลยีแบบบัส (Bus Topology) ลักษณะทางกายภาพของการเชื่อต่อของโทโพโลยีแบบบัสนั้นจัดเป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่ง่าย ซึ่งประกอบด้วยสายเคเบิลเส้นหนึ่งที่นำมาใช้เป็นสายแกนหลักที่เปรียบเสมือนเป็นกระดูนฃกสันหลัง(Backbone) โดยทุกโหนดบนเครือข่ายต้องเชื่อต่อเข้ากับสายเส้นนี้
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. เป็นการเชื่อมต่อที่มีรูปแบบไม่สลับซับซ้อนติดตั้งได้ง่าย
2. เพิ่มจำนวนโหนดได้ง่าย โดยสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสายแกนหลักได้ทันที
3. ประหยัดสายสื่อสาร ดพราะมีสายแกนหลักเพียงเส้นเดียว
|
1. หากสายเคเบิลที่เป็นสายแกนหลักเกิดการชำรุดเครือข่ายทั้งหมดจะหยุดทันที
2. กรณีเกิดข้อผิดพลาดบนเครือข่าย จะค้นหาจุดผิดพลาดยาก เนื่องจากอุปกรณ์
3.ระหว่างโหนดในการเชื่อมต่อแต่ละโหนดจะต้องมีระยะห่างตามข้อกำหนด
|
2. โทโพโลยีแบบดาว (Star Topology) เป็น การเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารโดยมีสถานีกลาง หรือฮับ (Hub) เป็นจุดผ่าน การติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสาร ทั้งหมด นอกจากนี้สถานี กลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบดาว จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูล เข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบดาว เป็นโทโปโลยีอีกแบบหนึ่งที่เป็นที่ นิยมใช้กันในปัจจุบัน
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. มีความคงทนสูง สายเคเบิลบางโหนดเกิดชำรุดหรือขาดจะส่งผลต่อโหนดนั้นเท่านั้นจพไม่ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวมโหนดอื่นๆ ยังช้งานได้ตามปกติ
2. เนื่องจากมีจุดศูนย์กลางตวบคุมอยู่ที่ฮับทำให้การจัดการดูแลง่ายและสะดวกเพียงเส้นเดียว
|
1. สิ้นเปลืองสายเคเบิล ซึ่งต้องใช้จำนวนสายเท่ากับจำนวนเคื่องที่เชื่อมต่อ
2. กรณีต้องการเพิ่มโหนด อุปกรณีฮับจะต้องมีพอร์ตว่างให้เชื่อมต่อ และต้องลากสายเชื่อมต่อระหว่างฮับไปยังโหนดปลายทาง
3. เนื่องจากมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ฮัก ถ้าฮับชำรุงใช้งานไม่ได้ คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับฮับก็จะใช้งานไม่ได้ทั้งหมด
|
3. โทโพโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology) เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารจะถูกส่ง จากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง วนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน (ในระบบเครือข่ายรูปวงแหวนบาง ระบบสามารถส่งข้อมูลได้สองทิศทาง) ในแต่ละโหนดหรือสถานี จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไป ให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. แต่ละโหนดในวงแหวนมีโอกาสส่ง ข้อมูลได้เท่าเทียมกัน
2. ประหยัดสายสัญญาณ โดยจะใช้สายสัญญาณเท่ากับจำนวนโหนดที่เชื่อมต่อ
3. ง่ายต่อการติดตั้งและการเพิ่ม/ ลบจำนวนโหนด
|
· หากวงแหวนชำรุงหรือขาด จะส่งผลกระทบต่อระบบทั้งหมด
· ตรวจสอบหนึ่งเกิดข้อขัดข้องเนื่องจากต้องตรวจสอบทีจุดว่าเกิดข้อขันงอย่างไร
|
4. โทโพโลยีแบบเมช (Mesh Topology) รูปแบบเครือข่ายแบบนี้ ปกติใช้ในระบบเครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network) ลักษณะการสื่อสารจะมีการต่อสายหรือการเดินของข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์หรือโหนดไปยังโหนดอื่น ๆ ทุก ๆ ตัว ทำให้มีทางเดินข้อมูลหลายเส้นและปลอดภัยจากเหตุการณ์ที่จะเกิดจากการล้มเหลวของระบบ แต่ระบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายมากกว่าระบบอื่น ๆ เพราะต้องใช้สายสื่อสารเป็นจำนวนมาก
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
· เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อกันโดยตรง ระหว่างโหนด ดังนั้นแบนด์วิดธ์บนสายสื่อสารสามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีโหนดใดมาแชร์ใช้งาน
· มีความปลอดภัยและความเนส่วนตัวในข้อมูลที่สื่อสารกันระหว่างโหนด
· ระบบมีความทนทานต่อความผิดพลาด( Fault-Tolerant)เนื่องจากหากมีลิงค์ใด ชำรุดเสียหาย ก็สามารถเลี่ยงไปใช้งานลิงค์อื่นทดแทนได้
|
เป็นรูปแบบของการเชื่อมต่อเครือข่ายที่สิ้นเปลืองสายสื่อสารมากที่สุด
|
5. โทโพโลยีแบบทรี (Tree Topology) มีลักษณะเชื่อมโยงคล้ายกับโครงสร้างแบบดาวแต่จะมีโครงสร้างแบบต้นไม้ โดยมีสายนำสัญญาณแยกออกไปเป็นแบบกิ่งไม่เป็นวงรอบ โครงสร้างแบบนี้จะเหมาะกับการประมวลผลแบบกลุ่มจะประกอบด้วยเครื่อง คอมพิวเตอร์ระดับต่างๆกันอยู่หลายเครื่องแล้วต่อกันเป็นชั้น ๆ ดูราวกับแผนภาพองค์กร แต่ละกลุ่มจะมีโหนดแม่ละโหนดลูกในกลุ่มนั้นที่มีการสัมพันธ์กัน การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่นๆได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม และรับส่งข้อมูลเดียวกัน ดังนั้นในแต่ละกลุ่มจะส่งข้อมูลได้ทีละสถานีโดยไม่ส่งพร้อมกัน
ข้อดีหรือข้อเสีย
ข้อดี
|
ข้อเสีย
|
1. รองรับการขยายเครือข่ายในแต่ละจุด
2. รองรับอุปกรณ์จากผู้ผลิตที่แตกต่างกัน
|
1. ความยาวของแต่ละเซกเมนตือาจจะแตกต่าง
2. หากสายสัยญาณกระดูกสันหลัง (Backbone) เสียหายเครือข่ายจะสามารถสื่อสารกันได้
3. การติดตั้งทำให้ยากกว่าระบบเครือข่ายแบบอื่น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น